ฟองสบู่ในตลาดเป็นปรากฏการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ มันคือช่วงเวลาที่ราคาของสินทรัพย์บางชนิด เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่เหรียญดิจิทัล พุ่งสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก โดยไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ การทำความเข้าใจว่าฟองสบู่เกิดขึ้นได้อย่างไร และอะไรคือแรงขับเคลื่อนเบื้องหลัง จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการปกป้องความมั่งคั่งของตนเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฟองสบู่ที่เกิดจาก “อากาศ” ก็ต้องจบลงด้วยการ แตกสลาย เสมอ
วัฏจักรของฟองสบู่ 4 ระยะสู่จุดแตกหัก
ฟองสบู่ทางการเงินไม่ได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน แต่จะค่อย ๆ ก่อตัวตามวัฏจักรที่มักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในลักษณะที่สามารถคาดเดาได้ โดยมีจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่มีเหตุผล สู่ความบ้าคลั่ง
1. ระยะเริ่มต้น
ฟองสบู่มักเริ่มต้นจากเหตุการณ์ใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรมหรือโอกาสทางเศรษฐกิจที่แท้จริง เช่น การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญ สิ่งนี้จะดึงดูด นักลงทุนกลุ่มแรก หรือ “Smart Money” ที่มองเห็นศักยภาพในการเติบโต ธุรกรรมในระยะนี้ยังเงียบเชียบ ราคาค่อย ๆ ขยับขึ้นอย่างช้า ๆ ตามปัจจัยพื้นฐาน
2. ระยะบูม
เมื่อราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารจะถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ดึงดูด นักลงทุนรายย่อยทั่วไป ให้เข้ามาในตลาดมากขึ้น ในระยะนี้ การพูดคุยเกี่ยวกับสินทรัพย์ดังกล่าวจะเต็มไปด้วยเรื่องราวความสำเร็จและการสร้างผลกำไรอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดเริ่มมีแรงเหวี่ยง และราคาเริ่มพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าปัจจัยพื้นฐาน
3. ระยะความคลั่ง
นี่คือจุดที่ราคาสูงสุดและเป็นอันตรายที่สุด การซื้อขายถูกขับเคลื่อนด้วย ความโลภ และ ความกลัวการตกขบวน (FOMO) นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจว่าธุรกิจมีกำไรหรือไม่ แต่สนใจเพียงว่าราคาจะขึ้นไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน ในระยะนี้คนที่ไม่เคยลงทุนมาก่อนก็จะเข้าสู่ตลาด เพราะเชื่อว่า “ครั้งนี้แตกต่าง” และราคาสามารถขึ้นต่อไปได้ตลอดไป
4. ระยะแตกและทรุด
ฟองสบู่จะแตกเมื่อมี แรงกระตุ้นเล็ก ๆ เข้ามาทำลายความเชื่อมั่นที่เปราะบางนั้น แรงกระตุ้นอาจเป็นข่าวลบทางเศรษฐกิจ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือการขายทำกำไรครั้งใหญ่โดยนักลงทุนกลุ่มแรก เมื่อราคาร่วงลงเล็กน้อย ความเชื่อมั่นก็จะพังทลายลงทันที ตามมาด้วย ความตื่นตระหนก และการขายเททิ้งอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงจนกลับสู่ระดับมูลค่าพื้นฐาน หรือต่ำกว่า
แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังฟองสบู่ จิตวิทยาที่ควบคุมราคา
ปัจจัยที่ทำให้ราคาใน Market Bubbles พุ่งทะยานจนควบคุมไม่ได้ คือ จิตวิทยามวลชน ที่อยู่เหนือเหตุผลและตรรกะทางการเงิน
ความโลภและความกลัวการตกขบวน
ในช่วงที่ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความโลภที่จะทำกำไรก้อนใหญ่จะเข้าครอบงำการตัดสินใจของนักลงทุน การเห็นเพื่อนหรือคนรู้จักรวยจากสินทรัพย์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ยิ่งกระตุ้นให้เกิดความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO) ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่สูงเกินจริง โดยหวังว่าจะมีคนอื่นมาซื้อต่อในราคาสูงกว่า
การให้เหตุผลเข้าข้างตนเอง
เมื่อนักลงทุนเชื่อมั่นในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอย่างรุนแรง พวกเขามักจะมองหาเฉพาะข้อมูลที่ สนับสนุนความเชื่อ ของตนเอง และเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับมูลค่าที่แท้จริง พฤติกรรมนี้ทำให้ฟองสบู่พองตัวต่อไปได้ แม้ว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจจะไม่สอดคล้องก็ตาม
อะไรคือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าฟองสบู่กำลังจะแตก
แม้ว่าการทำนายช่วงเวลาที่ฟองสบู่จะแตกอย่างแม่นยำเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีสัญญาณเตือนที่ชัดเจนหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะอันตราย
การแยกตัวจากปัจจัยพื้นฐาน
สัญญาณที่สำคัญที่สุดคือการที่ มูลค่าตามราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างไร้เหตุผล ตัวชี้วัดเช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) อยู่ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์นั้น ๆ การประเมินมูลค่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกระแสเงินสดหรือผลกำไร แต่เป็นเพียงการคาดการณ์อนาคตที่เกินจริง
การไหลเข้าของนักลงทุนรายย่อยรายใหม่จำนวนมาก
เมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะคลั่งไคล้ จะมีผู้คนจากทุกสาขาอาชีพที่มักไม่สนใจการลงทุนเข้ามาซื้อสินทรัพย์อย่างกระตือรือร้น การที่เงินทุนของนักลงทุนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้เข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่ มักบ่งชี้ว่า เงินทุนใหม่ที่พร้อมจะผลักดันราคาให้สูงขึ้นได้นั้นเริ่มหมดลงแล้ว ทำให้ราคาสูงสุดและเตรียมพร้อมสำหรับการกลับทิศทาง
ตัวเร่งปฏิกิริยาจากภายนอก
การแตกของฟองสบู่มักต้องการเพียง ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) เล็กน้อยเพื่อทำลายความเชื่อมั่น ตัวเร่งเหล่านี้อาจเป็นนโยบายของธนาคารกลาง การขึ้นภาษี การล้มละลายของบริษัทใหญ่ หรือแม้แต่ข่าวลือด้านลบที่ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อความเชื่อมั่นถูกทำลาย การขายที่เกิดจากความตื่นตระหนกก็จะเริ่มขึ้นและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ฟองสบู่ในตลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดที่การซื้อขายยังถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของมนุษย์ การพยายามทำนายว่าฟองสบู่จะแตกเมื่อไหร่จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถควบคุมได้คือ วินัย ในการลงทุน การยึดมั่นในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ และการหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวงด้วยความโลภของตลาด คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการอยู่รอดและเติบโตในโลกการเงินที่ผันผวน